ได้ลองใช้กล้อง Canon EOS R มาสักพัก เพิ่งถ่ายงานไปไม่กี่ครั้ง รีวิวนี้เลยเป็นการบอกเล่าความรู้สึกสดๆร้อนๆ ทำไมถึงย้ายบ้าน ทำไมหันมาใช้กล้องตัวนี้

..มากกว่าที่จะเป็นความรู้ สเปคต่างๆ

จริงๆแล้วกล้องตัวเก่าไม่ค่อยจะมีปัญหากับมันเลยนะ Sony A7iii สเปคหลายๆด้านดีกว่าด้วยซ้ำ แต่ที่เปลี่ยนกล้อง เพราะปรับวิธีการทำงาน

การทำงานผมจะเน้นผลลัพธ์มากขึ้น อยากได้ไฟล์ที่เอาไปแต่งต่อง่ายๆ ..ต่างจากแต่ก่อน จะเน้นคุณภาพไฟล์เป็นหลัก ถ่ายห่วยไม่เป็นไร เอามาแก้ไขได้ก็พอ

แต่ตอนนี้คือ ถ่ายรูปเก่งขึ้นมาอีกระดับหนึ่งแล้ว มีแนวทางการถ่ายรูปที่ชัดเจนขึ้น ก็หันมาเน้นผลลัพธ์เพื่อลดขั้นตอนการทำงานที่ยุ่งยาก นั่นก็คือ “ถ่ายรูปไฟล์ JPG”

เหตุผลหลักที่ย้ายค่าย เพราะต้องการไฟล์ JPG ที่ดี

ก่อนจะเปลี่ยนกล้องผมคิดอยู่นานมาก ไม่ใช่ปุบปับแล้วซื้อ ดูรีวิวอยู่นานเหมือนกัน คือดูและศึกษามาเรื่อยๆตั้งแต่กล้องมันเปิดตัว ศึกษาอย่างละเอียดจนมั่นใจ กล้องตัวนี้น่าจะตอบโจทย์วิธีการทำงานที่เปลี่ยนไป

เหตุผลที่เลือกใช้ EOS R

มันคือมิเรอร์เลส

เหตุผลหลักเลย กล้องที่ผมจะใช้ต้องเป็นมิเรอร์เลสเท่านั้น เพราะกล้องตัวแรกก็เป็นมิเรอร์เลส แล้วก็ใช้งานแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร

ไม่เคยมอง DSLR เลย เรียกว่าเดินทางมาสายมิเรอร์เลสตลอด

ที่ชอบมิเรอร์เลส ไม่ใช่เพราะเล็กเบา แต่ชอบเทคโนโลยี และการออกแบบ ..ส่วนตัวเป็นคนที่แบบ “การออกแบบกล้อง” ก็เป็นเหตุผลหลักๆที่ทำให้อยากได้

ผมถึงเลือก X-T10 เป็นกล้องเปลี่ยนเลนส์ตัวแรกในชีวิต ณ ตอนนั้น รู้สึกว่ามันเป็นกล้องที่ทำออกมาสวยมากเลยนะ ทุกวันนี้ยังเก็บไว้อยู่ ไม่ได้ใช้แล้ว แต่ก็ไม่คิดจะขาย

แต่จริงๆ ตอนเห็น EOS R ครั้งแรก ไม่คิดอยากได้เลย มันเหมือน DSLR มากๆ แต่ดูไปดูมามันก็สวยดี ดูอยู่นานถึงจะรู้สึกว่ามันสวย โดยเฉพาะการที่มีจอด้านบน ทำให้รู้สึกว่ากล้องมันดูทันสมัย

ผมไม่เคยใช้กล้องที่มีจอด้านบนมาก่อน ก็เลยอยากลอง

อยากพิสูจน์ Skin Tone

ใครๆก็บอก canon สกินโทนสวยอย่างนั้น อย่างนี้ เป็นสิ่งที่รับรู้มานานแล้ว แต่ยังไม่เคยได้ลองด้วยตัวเอง แล้วมันก็ติดอยู่ในใจมาแบบนี้

ในฐานะคนชอบถ่ายพอร์ทเทรต คิดว่าสักวันก็ต้องได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง

และก่อนจะตัดสินใจซื้อ EOS R ผมดูรีวิวเปรียบเทียบ Skin Tone กับกล้องค่ายอื่นๆมาก่อนบ้าง ดูรูปถ่ายในกลุ่ม canon ดูรูปจากช่างภาพคนอื่นๆ ดูจนมั่นใจว่า Skin Tone ประมาณนี้แหล่ะที่ชอบ

คือมันมีประเด็นว่า ถ้าถ่าย RAW จะแต่งรูปให้เป็น Skin Tone แบบไหนก็ได้

ขอบอกว่าไม่จริง ถ้าทำได้ไม่ต้องย้ายค่ายกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโทนจากกล้องฟูจิ กล้องไลก้า ยังไงก็แต่งรูปเลียนแบบเขาไม่ได้

ถ้าอยากได้ Skin Tone แบบไหน ไปใช้กล้องค่ายนั้นดีที่สุด

เคยใช้ M50 ในช่วงเวลาสั้นๆ

ถ้าไม่เคยมีประสบการณ์กับ M50 มาก่อน อาจจะยังไม่กล้าเปลี่ยนมาใช้ EOS R

M50 ระบบมันดีมาก การใช้งานก็ง่าย ตอนนั้นได้รับเครื่องมารีวิวไม่กี่วัน แต่ความรู้สึกเหมือนได้ใช้มานานเป็นเดือน

มันดีทุกอย่างเลย ยกเว้นระบบเลนส์ ไม่เหมาะกับคนเล่นกล้องในระดับซีเรียส เหมือนเขาจะเน้นผู้เล่นหน้าใหม่ มากกว่าคนอย่างผม ก็เลยไม่ได้ซื้อมาใช้

แต่ถ้า EOS R จะมาทำแบบ EOS M ผมก็คงจะไม่ซื้อมาใช้เหมือนกัน

แม้ว่า EOS R จะยังไม่ออกเลนส์ที่อยากได้ แต่ยังไงเลนส์เกรดโปรต้องออกมาอีกแน่นอน รับรู้ถึงความตั้งใจแบบนี้ ถึงวางใจที่จะฝากอนาคตได้

เปลี่ยนจาก RAW มาเน้น JPG มากขึ้น

ผมเริ่มเปลี่ยนวิธีทำงาน จากเดิมที่เอา RAW มาทำงาน เปลี่ยนมาเน้น JPG มากขึ้น เพราะการถ่ายรูปพอร์ทเทรต บางทีไม่จำเป็นต้องขุด

ถ้าถ่ายรูปออกมาได้ดีแล้ว ปรับแต่งสีนิดๆหน่อยๆก็พอ

อีกเหตุผล ไฟล์ JPG มันเอาไปใช้งานได้สะดวกกว่า และประหยัดพื้นที่ได้หลายเท่ามากๆ

และนี่เป็นเหตุผลหลักๆเลย ที่ทำให้รู้สึกว่าอยากย้ายค่าย เพราะไฟล์ JPG ของ Sony A7iii ยังไม่โดนใจเท่าไหร่ แต่ไฟล์ RAW มันดีมากเลยนะ ถ้าผมยังเน้นทำงานกับไฟล์ RAW ..เอาจริงๆ ผมคงไม่ย้ายมา canon

แต่ไม่ใช่ว่าอยากได้ JPG สวย แล้วมาเลือก EOS R ทันที

คือผมมีกล้องอีกค่ายอยู่ นั่นก็คือ Fujifilm อย่างที่รู้กันนะ กล้องค่ายนี้ JPG สวย ส่วนตัวเอาไว้ถ่ายรูปเล่น แล้วก็ใช้ทำงานบ้าง โดยก่อนหน้านั้นได้ลองนำ X-T20 ไปใช้กับงานสำคัญๆก่อน

กล้องมันเร็วอยู่นะ แต่ติดที่เลนส์มันรุ่นเก่า ถ้าใช้กับเลนส์พวกซีรีย์ F2 ที่ออกมาใหม่ ไม่มีปัญหา โฟกัสโครตไว

แต่พอเป็น 35 f1.4 กับ 23 f1.4 มันถ่ายเร็วมากไม่ได้ ซึ่งเป็นเลนส์ที่ผมชอบใช้ด้วย มิติภาพมันได้

ส่วนตัวไม่ติดขัดหรอกว่ากล้องต้องฟูลเฟรมเท่านั้น ขอแค่ไฟล์ภาพออกมาดีก็พอใจแล้ว โดยเฉพาะฟูจิ แม้ว่าจะเป็น APS-C แต่ไฟล์ JPG มันสวยมากเลยนะ

อีกประเด็นคือฟูจิมันควบคุมแบบ Manaul ถ้าจะถ่ายรัวๆแบบติดตาม ผมต้องกดหลายครั้ง ต่างกับกล้องตัวอื่นที่เป็นดิจิทัล มันทำ custom สำหรับถ่ายรัวแบบติดตามได้

ถ้าไม่ติดสองอย่างนี้ สำหรับผมนะฟูจิเป็นกล้องตัวจบสำหรับการทำงานได้เลย

ปล.ยังใช้ฟูจิอยู่นะ เอาไว้ถ่ายรูปเล่น ทำงานบ้างในบางโอกาส ทำงานจริงจังแล้วค่อยหยิบ EOS R

RP ก็ยังไม่โดนใจ

ในช่วงที่ตัดใจจะซื้อ EOS R พอรู้ข่าวว่า RP จะมา ผมหยุดรอก่อน

รอจนกระทั่งเห็นภาพหลุด RP ออกมา ก็ตัดสินใจไปซื้อ EOS R ทันที ชอบการออกแบบของ R มากกว่า RP

ส่วนตัวคิดว่า RP เหมาะกับมือใหม่ หรือคนใช้ DSLR ที่อยากลองมิเรอร์เลสฟูลเฟรม แต่ยังไม่อยากลงทุนมาก

มืออาชีพที่อยากได้สเปคสูงๆ คงไม่มองตัวนี้ ผมยังงใจกับคนที่เอาไปเทียบกับ Lumix S1 มันคนละคลาสกันเลยอ่ะ

EOS R จัดโปรลดราคา

ถือเป็นฟางเส้นสุดท้าย ก่อนจะตัดสินใจซื้อ

ถ้ายังไม่จัดโปร คิดว่าจะรอ Lumix S1 เปิดราคา แล้วดูรีวิวเปรียบเทียบไปเรื่อยๆ

แต่พอมีโปรออกมาแบบนี้ ก็ตัดสินใจง่ายขึ้น ..ส่วนตัวเห็นว่า EOS R ควรจะออกราคานี้มาตั้งแต่แรก

สัมผัสแรก EOS R

การจับให้ฟิล DSLR

ได้ลองจับครั้งแรก ความรู้สึกคือเหมือนจับ DSLR เข้ามือทันที ผมเป็นคนมือเล็กด้วย ไม่ค่อยมีปัญหาการจับถือไม่ว่ากล้องตัวไหน

A7iii ยังจับได้แบบนิ้วก้อยไม่ล้น EOS R ถ้าผมมี 6 นิ้วยังจับได้

คนที่มือใหญ่ๆ ก็ต้องซื้อกริปมาใส่ มิเรอร์เลสตัวไหนๆก็มีกริปให้ใส่

เลนส์ตัวแรก Sigma 50mm f1.4 Art

ตอนที่ไปซื้อกล้อง คิดว่าจะออก 35mm f1.8 เอามาติดกล้องถ่ายพอร์ทเทรตแนวๆสตรีทไปก่อน แต่ของไม่มี ไม่อยากรอก็เลยหาเลนส์ 50 มาใส่กล้อง

ที่จริงร้านมี 24-105 f4 ด้วยนะ แต่ไม่ใช่เลนส์ที่อยากได้ ไม่ใช่ระยะที่ใช้งาน

ก็เลยขอร้านลองเลนส์ตัวอื่นๆ มี 50 f1.4 กับ 50 f1.8 รู้สึกยังไม่โดนใจ ลองเลนส์ 50 f1.2 L รู้สึกดีขึ้นหน่อย แต่ไม่ชอบดีไซน์ที่ดูอ้วนๆ

สุดท้ายมาจบที่ Sigma 50mm f1.4 Art เป็นเลนส์ที่เคยใช้มาก่อน มั่นใจในคุณภาพ

ใจจริงน่ะอยากได้ RF 50mm f1.2 L แต่งบไม่ถึง

และเลนส์ตัวต่อไปที่จะซื้อคิดว่าเป็น 35mm หวังว่า canon จะทำ RF 35 f1.4 L ถ้าออกมาไม่ทัน ก็อาจจะจัด 35 ตัวอื่นๆ เอามาถ่ายแนวสตรีท

คู่มือภาษาอังกฤษ

สิ่งแรกๆที่ทำ คืออ่านคู่มือก่อน แต่เป็นภาษาอังกฤษทั้งเล่ม ก็พออ่านรู้เรื่องอยู่ เขาศัพท์ที่ง่ายและแยกหมวดหมู่ชัดเจน

ก่อนหน้านี้ผมดูรีวิวมาเยอะ ดูเขาสอนใช้งาน พอมาเจอคู่มือแบบนี้เลยไม่ค่อยงงมาก

ถ้าไม่ศึกษาอะไรมาก่อน แล้วมาเริ่มจับเลย จะมึนกับปุ่มต่างๆ EOS R มันไม่ใช่กล้องที่จับแล้วจะใช้ได้ทันที ต้องได้เซ็ตนั่นนี่ก่อนเล็กน้อย

เริ่มใช้งานจริง

ถูกใจกับภาพที่ได้

งานแรกที่ลอง เอาไปถ่ายวาเลนไทน์ ประทับใจตั้งแต่ชอตแรกๆที่ถ่าย ได้ภาพที่สวย โทนผิวถูกใจแบบที่คิดไว้จริงๆ

การตั้งค่าก็ไม่มีอะไรมากนะ ใช้โปรไฟล์พอร์ทเทรต ส่วนใหญ่เป็นโหมด A กับ P นอกนั้นก็เป็นค่าเดิมๆ

และต้องขอบอกว่า ไม่ใช่กล้องทุกตัวที่ถ่ายออกมาแล้วสวยถูกใจทันที กว่าจะได้ภาพในแบบที่ชอบบางทีต้องปรับแต่งอีกเยอะ

แต่ EOS R เป็นกล้องที่ทำให้รู้สึกว่าถ่ายออกมาแล้วใช่ ถ้าให้นิยาม ผมมองว่ามันคือฟูจิในร่างฟูลเฟรม

review-canon-eos-r-02
จบหลังกล้อง Eos r + sigma 50mm f1.4 art
review-canon-eos-r-01
จบหลังกล้อง Eos r + sigma 50mm f1.4 art
review-canon-eos-r-03
จบหลังกล้อง Eos r + sigma 50mm f1.4 art
review-canon-eos-r-04
จบหลังกล้อง Eos r + sigma 50mm f1.4 art

ถ่ายรูปครั้งแรก ผมเลือกน้องมัดหมี่มาเป็นแบบ ช่วงนั้นไกล้จะวาเลนไทน์ ก็ชวนมาถ่ายธีมที่ดูหวานๆหน่อย

WB แม่น

WB ค่อนข้างแม่น ผมชอบตรงนี้แหล่ะ ตอนถ่ายจะไม่กังวล ผิวจะติดเหลืองไปไหม ต้องชิป WB เท่าไหร่ เปิดออโต้ไปเลย

review-canon-eos-r-05
จบหลังกล้อง Eos r + sigma 50mm f1.4 art
review-canon-eos-r-06
จบหลังกล้อง Eos r + sigma 50mm f1.4 art
review-canon-eos-r-07
จบหลังกล้อง Eos r + sigma 50mm f1.4 art
review-canon-eos-r-08
จบหลังกล้อง Eos r + sigma 50mm f1.4 art

คนนี้น้องออย จริงๆวันนั้นจะนัดกันไปถ่ายธีมวินเทจ แต่ฝนตกก็มาถ่ายที่ตู้เกม ก็ได้ทดสอบในที่แสงน้อยไปในตัว

ผลก็คือ ด้วยความที่เป็น Sigma Art บวกกับเซ็นเซอร์ระดับฟูลเฟรม ไม่มีอะไรต้องกังวลครับ

ใครจะชวนกันไปถ่ายตู้เกม บางที่ไม่อนุญาต ควรขอพนักงานเขาก่อนนะ

ส่วนตัวได้ได้ใช้แฟลช ไม่มีทีมงาน ไปถ่ายกับน้องแค่ 2 คน เขาให้เลยง่ายๆ ..แต่ถ้าอุปกรณ์คุณเยอะ มีผู้ช่วยหรือเพื่อนร่วมทริปอีก อันนี้ไม่รู้นะว่าเขาจะให้ถ่ายหรือไม่ ต้องลองคุยดู

Eye AF ได้แค่ระยะไกล้ๆ

eye af ไม่ได้ตามจิก แบบอยู่ไกลๆจะมองเห็นได้ แต่ของ EOS R มันจะจับดวงตาได้เฉพาะรูปถ่ายครึ่งตัว

เรียกว่ายังเป็นรองกล้องเก่าที่ผมใช้อยู่นะ ก็หวังว่าสักวันจะพัฒนาไปถึงขั้นที่ว่าถ่ายเต็มตัวแล้วโฟกัสดวงตาได้ ขอแค่นั้นก็พอ

review-canon-eos-r-09
จบหลังกล้อง Eos r + sigma 50mm f1.4 art

review-canon-eos-r-10
จบหลังกล้อง Eos r + sigma 50mm f1.4 art
review-canon-eos-r-11
จบหลังกล้อง Eos r + sigma 50mm f1.4 art
review-canon-eos-r-12
จบหลังกล้อง Eos r + sigma 50mm f1.4 art

ภาพนี้เป็นงานถ่ายชุดล่าสุด นางแบบคือน้องอาย มาในธีมนางฟ้า นัดกันไปถ่ายที่หนองประจักษ์

และเป็นครั้งแรกที่เปิด eye af ก่อนหน้านั้นไม่ได้เปิดเลย เพราะไม่รู้ว่าต้องเปิดก่อน และไม่ทันสังเกต

ส่วนตัวไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับ eye af เพราะใช้เทคโนโลยีแบบนี้มานานจนชินแล้ว

แต่จะสังเกตว่าบางรูปตาข้างหนึ่งจะเบลอๆหน่อยนะ เพราะเปิด f1.4

วิธีถ่ายรูปเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ตอนถ่ายรูปแทบไม่ได้ใช้จอพับเลย เพราะไม่ถนัดจอแบบนี้ ทุกวันนี้ใช้งานแบบแทบไม่ต่างอะไรกับจอฟิกซ์

แต่สิ่งที่ชอบมากคือ “สีตรง” หน้าจอ LCD ให้สีที่สมจริง และเทียบกับจอ iPad Pro สีแทบไม่ต่างกัน ข้อนี้สำคัญมากสำหรับสาย JPG

ไม่ใช่กล้องทุกตัวที่มีหน้าจอสีตรงนะขอบอก

review-canon-eos-r-14
จบหลังกล้อง Eos r + sigma 50mm f1.4 art
review-canon-eos-r-15
จบหลังกล้อง Eos r + sigma 50mm f1.4 art
review-canon-eos-r-16
จบหลังกล้อง Eos r + sigma 50mm f1.4 art
review-canon-eos-r-13
จบหลังกล้อง Eos r + sigma 50mm f1.4 art

จอหลังกล้องนี่สำคัญมาก สีมันต้องตรง ไม่ตรง 100% ก็ได้ แต่ขออย่าถึงขั้นเพี้ยน

เพราะถ้าสีจอเพี้ยน บางทีโดนหลอกนึกว่าถ่ายดี กลับเอารูปไปเปิดที่บ้าน โหได้แก้เยอะเลย

พอเปลี่ยนมาถ่าย JPG แต่ละชอตผมเน้นมาก จะถ่ายมั่วๆเสียๆเหมือน RAW ไม่ได้ ถ่าย RAW เสียมันยังพอชุบชีวิตได้ แต่ถ่าย JPG แก้รูปยากมากๆ

ปรับตัวกับการถ่ายย้อนแสง

ภาพถ่ายย้อนแสงยังไม่ถูกใจผมเท่าไหร่ เป็นเพราะวิธีปรับแสงของมัน หรือโหมดโฟกัส หรือโหมดวัดแสง

ช่วงนี้กำลังเรียนรู้หาสูตรถ่ายย้อนแสงจากกล้องตัวนี้อยู่ ถ้าเป็นกล้องตัวเดิมที่ใช้ เจอแสงแบบนี้ รู้เลยว่าต้องถ่ายมุมแบบนี้ โฟกัสตรงนี้แล้วหน้าจะสว่าง

แต่พอเป็น EOS R ยังรู้สึกติดๆขัดๆกับมันอยู่เล็กน้อย

review-canon-eos-r-17
จบหลังกล้อง Eos r + sigma 50mm f1.4 art
review-canon-eos-r-18
จบหลังกล้อง Eos r + sigma 50mm f1.4 art
review-canon-eos-r-19
จบหลังกล้อง Eos r + sigma 50mm f1.4 art
review-canon-eos-r-20
จบหลังกล้อง Eos r + sigma 50mm f1.4 art

ส่วนตัวจะชอบถ่ายย้อนแสง ชอบให้ภาพมีโบเก้ แต่ก็มีบ้างนะให้แบบหันหน้าเข้าหาแสง ไม่ได้บ้าโบเก้ไปหมด

ถ่ายรัวได้ในระดับหนึ่ง

ยังงงๆกับการตั้งค่าเล็กน้อย ปรับเป็น Servo AF แล้วรัวได้ง่อยมาก ใช้ One shot ถึงจะรัวได้เร็ว

ใช้ One shot แล้วโฟกัสไม่แม่น แต่ Servo AF ถ่ายเคลื่อนไหวได้แม่นกว่า

ส่วนตัวไม่ได้ใช้ถ่ายกีฬา ถ่ายแต่แบบนี่แหล่ะ แต่บางทีก็อยากได้จังหว่ะที่วิ่ง กระโดด หมุนตัว ฯลฯ ซึ่งต้องถ่ายรัวถึงจะจับจังหว่ะได้ทัน

review-canon-eos-r-21
จบหลังกล้อง Eos r + sigma 50mm f1.4 art
review-canon-eos-r-22
จบหลังกล้อง Eos r + sigma 50mm f1.4 art

ที่ชอบให้น้องๆลองวิ่งและมีหมุนตัวบ้าง เพราะอยากเห็นยิ้มแบบเรียลๆ บางจังหว่ะจะมีเหมือนหลุดขำ

แต่มีความแปลกอยู่อย่างหนึ่ง โหมด Custom ทำไมมันปรับค่า F ไม่ได้ หรือทำได้ ?

การโฟกัส ไม่เร็วมาก แต่แม่นมาก

ความเร็วโฟกัสอยู่ในระดับที่ดี ถ้าให้คะแนนก็ 8 เต็ม 10 ส่วนความแม่นยำประทับใจมาก หลุดโฟกัสน้อย และนี่ขนาดว่าเป็นเลนส์นอกค่ายนะ

และ EOS R มันคือมิเรอร์เลสนะ ไม่มีปัญหา BF ไม่ต้องจูนเลนส์ ยิงเข้าก็คือเข้า

review-canon-eos-r-23
จบหลังกล้อง Eos r + sigma 50mm f1.4 art
review-canon-eos-r-24
จบหลังกล้อง Eos r + sigma 50mm f1.4 art
review-canon-eos-r-25
จบหลังกล้อง Eos r + sigma 50mm f1.4 art
review-canon-eos-r-26
จบหลังกล้อง Eos r + sigma 50mm f1.4 art

หัวใจสำคัญของมิเรอเลสคือการโฟกัสนี่แหล่ะครับ ยิงเข้าก็คือเข้า ถ้ารูปไม่ชัดก็เป็นกรณีที่สปีดชัตเตอร์ต่ำ หรือตั้งค่าไม่ดีมากกว่า

ใช้กับเลนส์เก่าๆนี่เรียกได้ว่าฟื้นคืนชีพ เนี่ยว่าจะไปหาเลนส์ Sigma 35 f1.4 Art มาใช้ ถ้าออก RF ไม่ทัน หรือไม่ก็ RF 35 f1.8 กำลังดูอยู่

แบตเพียงพอต่อการใช้งาน

ส่วนตัวใช้ถ่ายได้พันกว่ารูปนะ แบตถึงจะหมด ถ่ายงานละ 6-7 ร้อยรูป ได้อยู่ 2 ครั้งต่อกัน โดยไม่ชาร์ตแบต

ที่อยู่ได้นานส่วนหนึ่งเน้นใช้จอ LCD ไม่ค่อยมองจอ EVF เท่าไหร่ ..ยังมีหลายคนเข้าใจว่าจอ LCD ทำให้เปลืองแบตอยู่

แต่ก็ไม่ได้ประมาท ซื้อแบตมาสำรองอยู่ 1 ก้อน และพกแบตสำรองไปด้วยทุกครั้ง

review-canon-eos-r-27
จบหลังกล้อง Eos r + sigma 50mm f1.4 art
review-canon-eos-r-28
จบหลังกล้อง Eos r + sigma 50mm f1.4 art
review-canon-eos-r-29
จบหลังกล้อง Eos r + sigma 50mm f1.4 art
review-canon-eos-r-30
จบหลังกล้อง Eos r + sigma 50mm f1.4 art

ไม่อยากจะใช้คำว่าแบตอึดกับ EOS R เพราะมีตัวที่ทำได้ดีกว่ามากๆๆ แต่ก็ไม่แย่นะ มันอยู่ในระดับพอเพียง ใครห่วงว่าถ่ายงานจะไม่ต่อเนื่อง ก็หากริปมาใส่ได้

ยังไม่ได้ใช้แฟลช

ยังไม่ซื้อแฟลชมาใส่เลย กำลังปรับตัวกับน้ำหนักของมันอยู่ ส่วนตัวเคยขาย Sigma 50mm f1.4 Art เพราะใช้ร่วมกับแฟลชแล้วมันหนัก

ตอนที่ใช้กล้องเดิมผมใส่กับเลนส์ 55 f1.8za คือเบาสบายมาก พอกลับมาใช้เลนส์นี้อีกครั้ง กะว่าจะไม่ใช้แฟลชไปอีกสักพัก จนกว่าจะชินกับน้ำหนัก

ปกติไม่ได้ชอบใช้แฟลชอยู่แล้ว ยกเว้นการถ่ายในบางสถานการณ์ เช่น ถ่ายสตูฯ แล้วต้องการภาพสว่างๆ

อีกอย่างเลนส์ f1.4 ตัวนี้ ถ่ายในช่วงแสงไม่ดี ก็ขุดให้ภาพดูสว่างๆได้

ไม่ใช่สายจบหลังกล้อง

ที่เปลี่ยนมาถ่าย JPG ไม่ได้จะหันมาถ่ายแบบจบหลังกล้องนะ เวลาทำงานยังต้องแต่งรูปอยู่ดี

แต่ถ่าย JPG มันทำให้งานง่ายขึ้น สะดวกมากขึ้น เพราะกล้องมันช่วยแต่งโทนผิวมาให้แล้วระดับหนึ่ง

review-canon-eos-r-34
Eos r + sigma 50mm f1.4 art
แต่งด้วย Lightroom
review-canon-eos-r-33
Eos r + sigma 50mm f1.4 art
แต่งด้วย Lightroom
review-canon-eos-r-32
Eos r + sigma 50mm f1.4 art
แต่งด้วย Lightroom
review-canon-eos-r-31
Eos r + sigma 50mm f1.4 art
แต่งด้วย Lightroom

ข้อเสียของ JPG มีอย่างเดียวคือ ถ่ายเสียแล้วเสียเลย แก้งานได้ยาก

EOS R ถ่าย JPG + RAW พร้อมๆกันได้อยู่นะ แต่ผมเลือกถ่ายแต่ JPG จนถึงตอนนี้ยังไม่ลอง RAW เลย

การ์ดช่องเดียว

ก่อนจะตัดสินใจเลือก EOS R ได้คิดไว้ก่อนแล้วว่า มีที่เสียบการ์ดแค่ช่องเดียว คงไม่มีปัญหาอะไร

เพราะตั้งแต่ถ่ายรูปมา ไม่เคยมีปัญหาการ์ดพังสักครั้ง อาจจะเป็นคนที่โชคดี แต่ผมเลือกใช้การ์ดคุณภาพสูงตลอด ใช้ SanDisk Extream Pro

และถ้าเป็นงานที่ซีเรียสมาก พอถึงครึ่งทางก็จะแบคอัพงานทันที ใช้อะแดปเตอร์ต่อเข้ากับ iPad หรือมือถือ โหลดลงเครื่องแป๊บเดียวเท่านั้นเอง

แต่จะว่าไปนะ การ์ด 2 ช่อง ยังไงก็ดีการ์ดช่องเดียว

ใครอยากได้ EOS R รุ่นการ์ด 2 ช่อง ก็ต้องรอรุ่นหน้ามั้ง เห็นว่าเดี๋ยวมีรุ่นโปรออกมา เพราะตัว EOS R ถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ ไม่ใช่รุ่นท็อป

อื่นๆ

ยังใช้งานไม่ครบทุกฟีเจอร์ แต่ปกติก็ไม่ได้ทำไรกับกล้องมากอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเป็นวิดีโอไม่ได้แตะเลย ไม่ค่อยชอบถ่ายวิดีโอ

อีกฟีเจอร์ที่น่าสนใจก็มี Picture Profile ตอนนี้กำลังศึกษาลองผิดลองถูก ถ้าปรับได้แบบ Lightroom จะดีมากเลย

เลนส์ L ก็ยังไม่มีใช้ ส่วนตัวถือว่ายังไม่ได้ซึมซับความเป็น canon อย่างเต็มที่ ว่ากันว่าเลนส์ L ไล่โทนดีกว่า Sigma ด้วย ถ้ามีเงินคงได้หามาครอบครองสักตัว

การตั้งค่ารูปถ่าย
ทั้งหมดในบทความนี้ ใช้โหมด A โปรไฟล์พอร์ทเทรต นอกนั้นปล่อยออโต้
มีแค่รูปที่ 3-4 ใช้โหมด FV

สรุป

  • รักไฟล์ JPG ของ EOS R มากๆ
  • ใช้งานจริงยังมีติดขัดอยู่บ้าง กำลังปรับตัว
  • สายพอร์ทเทรตน่าจะชอบกล้องและไฟล์แบบนี้
  • ไม่ต้องปรับแต่งอะไรมาก ก็ได้ไฟล์ที่ถูกใจแล้ว
  • EOS R ไม่ใช่กล้องที่ใครจะใช้เป็นได้ทันที ถ้าไม่ดูคู่มือ หรือศึกษามาก่อน
  • คิดจะใช้ EOS R ต้องรับข้อจำกัดของมันให้ได้ก่อน
บทความก่อนหน้านี้วิธีแต่งรูปโทนสว่างนุ่มนวล พร้อมเบลอหลังมีโบเก้ ด้วยแอพ Meitu
บทความถัดไปวิธีเซฟรูปจาก Instagram ด้วยแอพ Fastsave
ชอบถ่ายรูป ชอบแต่งรูป รักการเขียนบล็อก